รอบชิงชนะเลิศ : สนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม ฟุตบอลยูโร 2020 : อังกฤษ พบ อิตาลี เมื่อทีมชาติ อังกฤษ ลงสนามท่ามกลางกระแสเสียงเชียร์ “It Coming Home” และแฟนบอลกว่า 58,000 คน เกมนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต จัดทีมในระบบ 3-4-3 กะใช้เกมรับเล่นงานทีมที่เล่นเกมรับดีที่สุดในโลก ด้วยการส่งผู้เล่นแนวรับแท้ๆลงสนามถึง 7 คน รวมเป็น 8 คนกับผู้รักษาประตู โดยมี แฮร์รี่ เคน เป็นแนวรุกร่วมกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ เมสัน เมาท์
ทางฝั่ง ทีมชาติอิตาลี เกมนี้พวกเขามาสู้ด้วยระบบ 4-3-3 จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ลงเฝ้าเสา แผงหลังให้ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ จับคู่กับ เลโอนาโด้ โบนุชชี่ ส่วนแผงมิดฟิลด์วาง จอร์จิญโญ่ คอยปั้นเกมร่วมกับ มาร์โก แวร์รัตติ และให้ ชิโร อิมโมบิเล่ ลงประสานงานในแนวรุกร่วมกับ เฟดเดอริโก้ เคียซ่า และ ลอเรนโซ่ อินซิเญ่

อย่าหาทำ! เซาธ์เกตส่งเด็กมายิง ดอนเซฟ 2 โทษ ส่งอิตาลีซิวแชมป์
สำหรับแฟนบอลต่างประเทศที่ไม่อยากพลาดข่าวสารวงการลูกหนังอย่าลืมติดตามเรา ลิ้งดูบอล.com เว็บไซต์สำหรับคอบอลโดยเฉพาะ
- โตริโน่ ปิดดีลคว้า “วาเลนตีโน่ ลาซาโร่” วิงแบ็ก อินเตอร์ มิลาน สัญญา 4 ปี
- อาร์เซน่อล เมินข้อเสนอ งูใหญ่ ขอซื้อ “บาโลกุน” เสริมทัพซัมเมอร์นี้
- อินเตอร์ มิลาน เล็งคว้า “คาร์เนเซ็คคี่” นายด่าน อตาลันต้า เสียบตำแหน่ง
เริ่มเกม นาทีที่ 2 : แฮร์รี่ เคน ได้บอลที่กลางสนาม เปิดขวางสนามเลียดๆไปทางฝั่งขวา คีแรน ทริปเปียร์ ดึงจังหวะช้ารอเพื่อนเติมขึ้นมา มีเวลาคิด มีเวลามอง แล้วเปิดโค้งๆไปที่เสาสอง และเป็น ลุค ชอว์ ที่วิ่งมากดด้วยซ้ายแบบไม่ต้องจับที่หน้ากรอบ 6 หลา บอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้ อังกฤษ เป็นฝ่ายออกนำเร็ว 1-0
หลังจากนั้นเป็นทางฝั่ง อิตาลี ที่ครองเกมบุกเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังหาจังหวะยิงเหมาะๆยังไม่ได้
นาที35 : เฟดเดอริโก้ เคียซ่า ได้บอลบริเวณเลยกลางสนามมานิดหน่อยตัดสินใจลากไปเองพาหนีเดแคลน ไรซ์ไปจนถึงหน้าเขตโทษกองหลังอังกฤษยังเหลืออยู่5 คน เลยตัดสินใจกดด้วยซ้ายบอลพุ่งแรงห่างเสาขวามือแบบได้ลุ้น
มาถึงนาที 46 : ดิ ลอเรนโซ่ได้จังหวะเปิดจากข้างเขตโทษฝั่งขวาเข้าไปหน้าประตูอิมโมบิเล่ได้ยิงแถวๆจุดโทษยังติดบล็อก บอลกระดอนมาเข้าทาง จอร์จิญโญ่ ที่หน้าเขตโทษ แล้วไหลต่อให้ แวร์รัตติ ได้หมุนตัวยิงในเขตหัวกะโหลก บอลเข้ากรอบแต่เบาหวิว พิคฟอร์ด รับสบาย

นาที 51 : อิตาลีได้ฟรีคิกหน้าเขตโทษตรงกลางประตูบริเวณเส้นวงกลมหัวกะโหลกพอดิบพอดีจังหวะนี้อินซิเญ่ปั่นโค้งๆด้วยขวาบอลหนีกำแพงและหนีกรอบออกหลังไป
หลังนาที 57 : เคียซ่าได้บอลที่ริมเส้นด้านซ้ายพาลากจี้เข้าไปในเขตโทษแล้วยิงยัดด้วยซ้ายบอลไปติดกองหลังแต่ยังไปเข้าทางอินซิเญ่ พาบอลหนีกองหลังแล้วได้ซัดด้วยซ้าย ข้างๆกรอบ 6 หลา แต่ยังไม่ผ่าน พิคฟอร์ด
นาที 61 : เคียซ่า มาทางซ้ายอีกแล้ว จังหวะนี้ได้บอลจากระยะ 30 หลา พาหนีผู้เล่นอังกฤษเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะตัดเข้าเหลี่ยมเท้าขวาตามสูตร แล้วดึงหาช่อง 3-4 จังหวะ จนได้กดระยะ 17 หลาตรงกลางประตู บอลทะลุแนวรับกำลังจะมุดเสาขวามือ แต่ พิคฟอร์ด ยังปัดออกไปได้

นาที 67 : อิตาลี ได้เตะมุมทางฝั่งขวา บอลเปิดโค้งๆเข้าหาประตู มีจังหวะโหม่งเช็ดที่เสาแรก เลยมาถึงเสาสอง แวร์รัตติ ใช้ความเร็วพุ่งโหม่งระยะ 5 หลา แต่ พิคฟอร์ด ยังปัดทัน บอลไปโดนเสากระเด้งออกมา แต่บอลยังไม่ไปไหนไกล สุดท้ายเป็น เลโอนาโด โบนุชชี่ วิ่งเข้าซ้ำดาบสองระยะไม่กี่เซนเข้าประตูไปเลย ส่งให้ อิตาลี ตามตีเสมอ 1-1
และจบเกม 90 นาทีด้วยสกอร์นี้ ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที สกอร์ก็ยังเท่ากัน 1-1 เลยต้องมาตัดสินผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ
[คนแรก] อิตาลี : โดเมนิโก้ เบร์ราดี้ ยิงเข้า
อังกฤษ : แฮร์รี่ เคน ยิงเข้า
[คนที่ 2] อิตาลี : อันเดรีย เบล็อตติ ยิงไม่เข้า
อังกฤษ : แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ยิงเข้า ทำให้อังกฤษ กุมความได้เปรียบเอาไว้
[คนที่ 3] อิตาลี : เลโอนาโด้ โบนุชชี่ ยิงเข้า
อังกฤษ : มาคัส แรชฟอร์ด ยิงไม่เข้า ตอนนี้สกอร์เท่ากัน 2-2 ต้องมาเริ่มกันใหม่ในการยิงคนถัดไป
[คนที่ 4] อิตาลี : เฟดเดริโก้ แบร์นาเดสคี่ ยิงเข้า
อังกฤษ : จาดอน ซานโช่ ยิงไม่เข้า ทำให้อิตาลี เป็นฝ่ายได้เปรียบ 3-2 ถ้าคนถัดไปพวกเขายิงเข้าจะคว้าแชมป์ไปเลย
และคนที่ 5 ของอิตาลีเป็น จอร์จิญโญ่ “เทพจุดโทษปลิดวิญญาณ” ลงมายิงเพื่อฝังอังกฤษ และพาทีมคว้าแชมป์ แต่ยิงไปติดเซฟ จอร์แดน พิคฟอร์ด ทำให้เกมยังไม่จบ
ทางด้านคนที่ 5 อังกฤษ ส่ง บูคาโย่ ซาก้า ดาวเตะวัย 19 ปี ลงมายิงเพื่อตีเสมอ แต่ดันยิงไปติดเซฟของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ที่เดินยืดแบบเท่ๆแล้วไม่แสดงอาการดีใจ ส่งให้ อิตาลี เป็นฝ่ายเอาชนะไปในการดวลจุดโทษ 3-2 คว้าแชมป์ไปครอง และเป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 2 ของพวกเขาหลังรอคอยมาตั้งแต่ปี 1968 หรือ 53 ปี และเมื่อรวมกับแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัย ทำให้พวกเขาเป็นแชมป์รายการเมเจอร์ ใบที่ 6